วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ - สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา

ประวัติความเป็นมาของขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์

 โดย ครูเกริกกุล  เลาหะพานิช


ขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ เป็นขลุ่ยที่มีปลายส่วนปากเป่าเป็นลักษณะคล้ายนกหวีด มีเสียงนุ่มนวล บางเบา นิยมเล่นกันมาตั้งแต่ยุคบาโรค (ช่วงปี ค.ศ. 1600-1750) ซึ่งขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ที่เราเล่นกันอยู่ก็มาจากช่วงยุคบาโรคนี่เอง และได้รับการปรับปรุงใหม่ เกิดใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 20 และยังคงได้รับความนิยมเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน

ภาพการบรรเลงขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ของนักเรียนในต่างประเทศ
ขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์เป็นเครื่องดนตรีประเภทลมไม้ (Woodwind instrument) ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ เพราะมีการค้นพบหลักฐานมากมายเกี่ยวกับเครื่องดนตรีประเภทนี้
ขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์

กล่าวคือ ต้นตระกูลของขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายนกหวีด คือเป็นขลุ่ยประเภทที่เป่าลมเข้าไปแล้ว มีทางบังคับลมให้ตรงไปที่ส่วนที่เป็นจุดกำเนิดเสียง ทำให้เสียงที่เกิดขึ้นนั้นมีความใส ความชัดเจน แน่นอนและแม่นยำทุกครั้งที่เป่า

ให้นักเรียนคิดถึงเวลาเป่านกหวีดก็มีลักษณะคล้ายกัน คือ เป่าลงไปแล้วมีช่องทางบังคับลมที่เป่าให้ออกไปทางเดียวกันอย่างแม่นยำทุกครั้ง เสียงที่ได้จึงไม่มีความเพี้ยนหรือ มีความเพี้ยนน้อยมาก ( ความเพี้ยนในความหมายของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า คือความเพี้ยนที่อาจเกิดจากการวางปาก การวางนิ้ว  การบังคับทิศทางลมของผู้เล่น  หรือความเพี้ยนที่อาจเกิดจาก ลักษณะเฉพาะของเครื่องดนตรี เช่น ลิ้น นวม เป็นต้น )

ซึ่งเครื่องดนตรีประเภทที่คล้ายนกหวีดแบบนี้ มนุษย์เรารู้จักประดิษฐ์ขึ้นมานับพันปี แล้ว จากหลักฐานที่ค้นพบก็คือ มีการค้นพบเครื่องดนตรีที่ทำจากกระดูกแกะ ในยุคเหล็ก ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งก็มีลักษณะเป็นปากเป่าให้เกิดเสียง มีรูปิดเปิดนิ้ว 3 -5 รู เป็นต้น

การที่จะกำหนดวันเวลา หรือช่วงยุคสมัยที่เกิดขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกนั้น เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ในหมู่สถาบันการศึกษาต่างๆทั่วโลกโดยเฉพาะในยุโรป  ซึ่งกล่าวกันว่า

ขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ในยุค บาโรค (Baroque Age ค.ศ.1600-1750 )เป็นขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ที่มีลักษณะเหมือนกับขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ในปัจจุบันมากที่สุด ในยุคบาโรค  ขลุ่ยนี้ถูกนำมาใช้เล่นทำนองหลัก ในลักษณะเดียวกับเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ฟลู้ท (Flute) ในวงออร์เคสตร้า คือเป็นเครื่องดนตรีที่ต้อง โซโล (Solo) นับว่า เป็นยุคที่ขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยนักแต่งเพลงคนสำคัญอย่าง บาค (Bach) ,เฮนเดล (Handel) และเทเลมาน(Telemann) เป็นต้น

ต่อมาในยุคศตวรรษที่ 18 (ค.ศ.1700-1800) ขลุ่ยที่มีลักษณะคล้าย Flute เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงข้อเสียอย่างหนึ่งของขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ว่า เสียงของขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์นั้น ถึงแม้จะใส ชัดเจน ความเพี้ยนน้อย แต่เนื้อเสียงก็เล็ก และบางเบามาก  ขณะที่ขลุ่ย Transverse Flute นั้น เสียงดังกว่า และมีช่วงเสียงที่กว้างกว่ามาก ทำให้เหมาะกับวงออร์เคสตร้ามากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ก็เริ่มเสื่อมความนิยมลง มีความนิยมเล่นน้อยลง น้อยลง จนกระทั่ง นานๆทีจึงมีคนเล่น และหายไปเลย ในที่สุด

ช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 -1900) ถูกเล่นน้อยมาก และแม้กระทั่ง วิธีทำเครื่องดนตรีชนิดนี้ ก็พลอยจะสูญหายไปด้วย เครื่องดนตรีนี้หายไปจากความนิยมของนักดนตรีและผู้ฟัง จนกระทั่งได้รับการฟื้นคืนมาสู่ความนิยมอีกครั้ง ในศตวรรษที่ 20 โดยมาในรูปแบบการเรียนการสอนเด็กในชั้นเรียนต่างๆทั่วโลก  ซึ่งต่างก็ใช้ขลุ่ยชนิดนี้เป็นสื่อในการเรียนดนตรีในขั้นพื้นฐาน

ในปัจจุบัน นิยมใช้เป็นสื่อการสอนวิชาดนตรีให้กับนักเรียน
โดยมีเหตุผลสำคัญว่า
1.สนุก ฝึกง่าย เป็นเร็ว
2.ราคาถูก ทุกคนสามารถซื้อหามาได้
3.พกพาสะดวกเพราะขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป
4.ไม่น่าเบื่อเพราะใช้เล่นบรรเลงเพลงต่างๆได้มากมาย
5.บรรเลงเดี่ยวหรือรวมวงกับเครื่องดนตรียอดฮิต อย่าง เปียโน ไวโอลินหรือกีตาร์ ก็สะดวก
ฯลฯ


จบ

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

องค์ประกอบดนตรี - สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา

องค์ประกอบดนตรี
โดย ครูเกริกกุล เลาหะพานิช

ดนตรี คือ เสียง หรือกลุ่มเสียงที่มีระบบ ระเบียบ และได้ถูกบริหารจัดการไว้แล้วตามความต้องการของผู้ประพันธ์

องค์ประกอบ หมายถึง ส่วนประกอบที่นำมารวมกันเพื่อให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นอย่างสมบูรณ์

องค์ประกอบดนตรีจึงหมายถึง ส่วนประกอบที่นำมารวมกันเพื่อให้เกิดเป็นเสียงดนตรี

เสียงดนตรี มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ


1. ทำนอง (Melody)
2. จังหวะ (Rhythm)
3. เสียงประสาน (Harmony)
4. สีเสียง (Tone Colour)
5. คำร้อง (Lyric)

ดังมีรายละเอียด ดังนี้

1. ทำนอง (Melody) หมายถึง ทำนองเพลง ซึ่งมีลีลา รูปร่างของทำนองแตกต่างกันออกไป การฟังเพลงนั้นโดยธรรมชาติ เรามักจะเริ่มด้วยการฟังทำนองเพลงก่อนเป็นหลัก โดยเฉพาะถ้าเป็นเพลงบรรเลงเราก็ควรตั้งใจฟังมากขึ้น เพื่อจำแนกเสียงของทำนองเพลงออกมาจากเสียงอื่นๆ เพื่อให้ได้ยินทำนองเพลงที่ชัดเจนมากขึ้น

2. จังหวะ (Rhythm) หมายถึง การเคลื่อนไหวที่ดำเนินไปในกาลเวลา คำว่าจังหวะในทางดนตรีมักหมายถึงจังหวะสามัญ (Beat) เป็นหลัก แต่จะมีนักเรียนส่วนหนึ่งมักคิดว่า คำว่าจังหวะ หมายถึงจังหวะกลอง ดังนั้น เราจะมาแยกแยะคำว่าจังหวะสามัญ และจังหวะกลอง ดังนี้

  • จังหวะสามัญ (Beat) หมายถึงจังหวะที่ดำเนินไปในกาลเวลา ช้า เร็ว ตามแต่เพลงจะถูกกำหนดมา ซึ่งจังหวะสามัญนี้ "เราไม่ได้ยิน แต่เรารู้สึกได้" เช่น เพลงบางเพลงบรรเลงโดยเปียโนหลังเดียว เราก็สามารถรู้สึกได้ถึงความช้า-เร็วของจังหวะ , นักร้องผู้มีความสามารถ สามารถร้องเพลงเดี่ยวได้ โดยไม่ต้องปรบมือให้จังหวะ หรือมีดนตรีประกอบ , เราฟังเพลงเพลินๆ ก็สามารถเคาะจังหวะตามเพลงนั้นๆได้ โดยไม่ยาก ฯลฯ ซึ่งจังหวะสามัญมีส่วนประกอบที่สำคัญ เราเรียกว่า ความเร็ว (Tempo) ซึ่งจะมีอุปกรณ์การกำหนดความเร็วของเพลง ที่เราเรียกว่า เมโตรนอม (Metronome) ซึ่งมีหลักคิดว่า 1 นาทีต้องเคาะจังหวะเท่าๆกันกี่ครั้ง เช่น 60 เคาะ (ครั้ง) ต่อนาที , 120เคาะ (ครั้ง) ต่อนาที เป็นต้น โดยปกติเมโตรนอมจะมีจังหวะเคาะตั้งแต่ 40-208 BPM (Beat Per Minute)
  • จังหวะกลอง (Drum Pattern) จังหวะกลองจะมีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่นจังหวะร็อค โซล เร็กเก้ รุมบ้า ช่าช่าช่า โบเรโล บีกิน ฯลฯ เราก็จะพบว่า มันคือรูปแบบการตีกลองที่ต้องตีออกมาให้ตรงกับชื่อจังหวะนั้น ซึ่งกลองก็เป็นเครื่องดนตรีหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงจังหวะสามัญมากที่สุด เพราะในวงดนตรีที่มีกลองอยู่ในวง เรามักจะฟังกลองเป็นหลักในขณะเล่นดนตรี
ดังนั้น ต่อไปนี้ถ้าพูดถึง "จังหวะ" ในทางดนตรี ควรหมายถึงจังหวะสามัญ เป็นหลัก ถ้าต้องการพูดถึงจังหวะกลอง ก็ต้องบอกไปเลยว่า "จังหวะกลอง"


3. เสียงประสาน (Harmony) หมายถึง กลุ่มเสียงที่รองรับทำนองเพลงนั้นไว้ เพื่อกำหนดอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟังตามเจตนาของผู้ประพันธ์ หรืออาจกล่าวได้ว่า เสียงประสาน คือสมองของเพลง เป็นส่วนประกอบที่ต้องใช้ความรู้มากที่สุด เสียงที่เกิดขึ้นมักอยู่ในรูปของขั้นคู่ (Interval) และคอร์ด (Chord)

4. สีเสียง (Tone Colour) หมายถึง เสียงของเครื่องดนตรีต่างๆ ถ้าเรากำหนดว่าเสียงของเครื่องดนตรี 1 อย่าง คือ สี 1 สี เราจะได้สีต่างๆมากมาย เช่น เสียงของกีตาร์คลาสสิค (สายไนลอน) กีตาร์โฟล์ค (สายเหล็ก) เสียงของ ทรัมเป็ต ไวโอลิน เชลโล แซ็กโซโฟน เป็นต้น เสียงต่างๆเหล่านี้ ย่อมมีสีที่แตกต่างกัน มีความเหมาะสมในการบรรเลง ไม่เหมือนกัน เมื่อใช้เครื่องดนตรีใด ก็จะได้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน เช่น ทรัมเป็ต ให้ความรู้สึกเข้มแข็ง ทรนง องอาจ ,ไวโอลิน ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน เกรี้ยวกราด เป็นต้น    อีกทั้งถ้าเรานำเสียงหลายๆเสียงมาผสมรวมกันอีก ก็ย่อมได้สีต่างๆอีกมากมาย เช่น เสียงของวงออร์เคสตรา กับเสียงวงร็อค ก็แตกต่างกันไปอย่างนี้ เป็นต้น

5. คำร้อง (Lyric) หมายถึง คำร้อง หรือเนื้อร้องของเพลง ซึ่งจะถูกวางอยู่บนทำนองของเพลงนั้นๆ เพลงในยุคปัจจุบัน โดยธรรมชาติ เราจะได้ยินคำร้อง และทำนองเพลงในคราวเดียวกัน ซึ่งเราควรแบ่งแยกว่าทำนองเพลงก็เป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งของดนตรี คำร้องก็เป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่ง ไม่ควรถือเป็นส่วนเดียวกันเพราะ ทำนองเพลงบางเพลงมีเนื้อร้องมากกว่า 1 เนื้อร้อง หรืออย่างคำโบราณว่า "ร้อยเนื้อ หนึ่งทำนอง"
                  เกี่ยวกับเรื่องคำร้องนี้ บางตำราก็แทบจะแยกเรื่องคำร้องนี้ไปอยู่อีกเรื่องหนึ่ง คืออยู่ในเรื่องของวรรณกรรมกันเลยทีเดียว เป็นกาพย์ กลอน ฯลฯ ซึ่งจะไปศึกษาในเรื่องการใช้ภาษามากกว่าเรื่องของทฤษฎีดนตรี หรือเสียงดนตรี เพียงแต่ต้องคำนึงถึงว่าเมื่อนำคำร้องมาวางลงบนทำนองแล้ว ความหมายทางภาษาต้องไม่ให้ผิดเพี้ยนไป ต้องให้ได้ความหมายเดิมของเนื้อร้อง

สรุปว่าองค์ประกอบดนตรีนั้น มีองค์ประกอบสำคัญ 5 อย่างดังกล่าวมาทั้งหมดแล้ว

จบ